Tuesday, November 20, 2012

นครชัยศรี เจอสวนมะละกอนายปรุง ในยุคมะละกอกิโลละห้าสิบ แต่มังคุดแค่สิบ

ไปหาข้าวกินแถวนครชัยศรี เจอสวนมะละกอนายปรุง ในยุคมะละกอกิโลละห้าสิบ แต่มังคุดแค่สิบ


ตอน ที่นั่งเขียนอยู่นี้ ผลโหวตของบล็อกนี้ระหว่างเรื่องกินกับเรื่องเที่ยว ดูท่าว่าคนโหวตว่าชอบเรื่องกินจะชนะขาดคนที่โหวตชอบเรื่องเที่ยว อยู่ที่ 340 ต่อ 35 เกิดความคิดกับตัวเองว่าหรือจะ เลิกเที่ยว เก็บเงินไว้ไปหาอาหารเด็ด ๆ กิน ก็น่าจะดีเหมือนกัน แล้วก็เก็บภาพหาเรื่องมาเล่ายั่วน้ำลายกันเล่น แล้วก็ได้อิ่มอร่อยท้อง

 
เมื่อ ไม่กี่วันมานี้วนรถว่าจะไปหาข้าวกินแถว ๆ ศาลายา จากหน้ามหาวิทยาลัยมหิดลเลี้ยวซ้ายไปตามถนนศาลายา-นครชัยศรี ขับไปเรื่อย ๆ ยังไม่เจอร้านโดนตาโดนใจ จนเลยวัดสุวรรณ ประมาณว่าจากแยกศาลายามาก็ประมาณ 9 กิโลเมตร  ยังอยู่ในเขตตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ก็เจอร้านชื่อ อู่ข้าวอู่ปลา อยู่ทางขวามือ นึกคุ้นตาขึ้นมาจากหน้าหนังสือบ้าง หน้าเว็บบ้าง บรรยากาศร่มเงาแบบบ้านทุ่งชวนสนใจก็เลยลองแวะเข้าไปดู
อาหาร ออกหน้าตาไทย ๆ ที่ลองสั่งมาชิมรสชาติ ก็เช่น ยำตะไคร้ ซึ่งทางร้านออกแบบมาให้กินได้ทั้งแบบยำ และแบบเมี่ยง ไข่ตุ๋นที่เขาเอาน้ำและเนื้อแบบต้มยำกุ้งราดมาบนหน้าไข่  ปลาสลิดที่นี่เขาไม่ได้ขายแบบทอด แต่แกะเนื้อมาทำไข่เจียวปลาสลิด แล้วก็เอามาแกงกะทิใส่ใบมะขาม เป็นต้น ราคาอาหารพอให้จับต้องได้ จานละ สี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบบาท หม้อไฟก็ร้อยนึง ถ้าเป็นปลาตัวราคาก็สูงขึ้นไปแต่ก็ยังไม่ถึงสองร้อยอยู่ดี
ร้าน ไม่มีห้องปรับอากาศ แต่อากาศกลางวันก็ไม่ทำให้ร้อนเพราะมีลมสวนช่วยกระพือพัด ถ้าไม่ชอบนั่งบนบ้าน จะย้ายมานั่งข้างล่างที่ออกแบบจัดสวนแบบชาวบ้าน ให้อารมณ์เหมือนอยู่กับบ้านก็ได้ แต่ข้างล่างนี่น่าจะเหมาะกับช่วงแดดร่มลมตกมากกว่า ด้วยว่าร้านเขาเปิดขายตั้งแต่สี่โมงเช้าไปจนถึงสี่ทุ่ม
 
จ่าย เงินค่าอาหารเสร็จ เดินลงจากร้านจะกลับมาที่รถ เหลือบไปเห็นสาวหน้าตาน่ารักขับรถมาซื้อมะละกอที่สวนซึ่งอยู่ภายในบริเวณ รั้วเดียวกันกับร้าน ส่งไมตรีถามไถ่ได้ความว่าบ้านอยู่แถวคลองมหาสวัสดิ์ เพื่อนฝูงจะยกพลมาเยี่ยมเยียน เลยมาหาซื้อมะละกอเตรียมไว้ต้อนรับ พร้อมทั้งให้เหตุผลว่ามะละกอเจ้านี้แหละที่ส่งขึ้นห้างอย่างสยามพารากอน และเดอะมอลล์ ชื่อว่าสวนนายปรุง
 
พอ ได้ยินชื่อสวนนายปรุง ก็คิดถึงมะละกอแขกดำที่ขายอยู่ที่ตลาดท่านา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ตลาดริมแม่น้ำนครชัยศรีที่มีของกินของขายให้ไปท่องเที่ยวกันนั่นแหละ ติดสติกเกอร์ยี่ห้อนี้ขายอยู่ที่กิโล (กรัม) ละห้าสิบบาท ถามราคาแล้วไม่ซื้อแถมยังแอบนึกในใจว่ามะละกออะไรแพงจัง แขกดำแถวบ้านขายกิโลละยี่สิบแปดบาท ยังต่อ (ราคา) แล้วต่ออีก ต่อไม่ให้ก็หันไปซื้อมังคุดกิโลละสิบบาทไปกินแทน
 
เจอ ตัวนายปรุงเก็บมะละกอมาขายเอง ฟังว่าปลูกเองขายเองอย่างนี้มายี่สิบปีแล้ว กว่าจะได้แขกดำที่เนื้อแดงแน่นหวานชุ่มนุ่มลิ้นอย่างที่เป็นอยู่ เคล็ดดี ๆ ก็คือต้องใช้ขี้ค้างคาวเป็นปุ๋ยช่วย ต้นไม่ปล่อยให้โตสามปีตัดแล้วลงใหม่ เพราะยิ่งสูงลมจะตีลูกมะละกอแกว่งเป็นแผล พอลูกเริ่มโตก็ต้องห่อเพื่อกันนกเจาะแล้วมดซ้ำ เป็นโรคก็อย่าเสียดาย ปลูกมะละกอขายให้ทำใจแต่เริ่มหวังผลแค่ครึ่งเดียว
 
ยัง ไม่ได้ชิม แค่คุยถึงมะละกอก็ชักจะได้รส เมื่อก่อนเวลาพูดถึงชื่อภาษาอังกฤษของมะละกอก็จะนึกได้แต่เพียง Papaya ตอนหลังถึงได้รู้ว่า Pawpaw หรือ Tree Melon ก็หมายถึงมะละกอเหมือนกัน คนเหนือ คนลาว เรียกว่า ก้วยเท็ด (เทศ) มะก้วยเท็ด  กะเหรี่ยงทางเหนือเรียก สะกุยเส่ ถ้าเป็นเงี้ยวเรียก หมากซางพอ คนอีสานเรียก หมากหุ่ง หมักหุ่ง บักหุ่ง บักกอ คนใต้เรียก ลอกอ แถวปัตตานีเรียก มะเต๊ะ ถ้าทางยะลาเรียก ก้วยลา แถวสตูลเรียก แตงต้น ถ้าเป็นคนจีนฟังเสียงมาได้ว่า เจียะกวย หรือ ฮวงบักกวย ผิดถูกก็โทษรูหูที่ฟังมาผิดก็แล้วกัน
 
มะละกอ สุกมีทั้งวิตามินเอ บีหนึ่ง บีสอง ซี ซีหนึ่ง ซีสอง แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โซเดียม โปตัสเซียม ไนอาซิน เบตาแคโรทีน แล้วก็พวกกากหรือเส้นใย หยิบเนื้อสุกมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงเครื่องปั่น เติมน้ำตาลทรายแดงหน่อยเกลือป่นนิด ใส่น้ำแข็งแล้วก็ปั่นให้ละเอียด ดื่มเป็นน้ำมะละกอปั่น อร่อยดีแล้วก็ยังช่วยย่อยอาหาร และระบายท้องแก้ท้องผูกได้ด้วย


คุย กับนายปรุงจนเพลิน เผลอเลือกหยิบมะละกอส่งให้เกือบสิบลูก ราคาที่สวนขายเท่าส่งกิโลละสามสิบห้าบาท ถ้าเป็นแผลถูกเจาะทาปูนแดงกันลามไว้ก็ขายกิโลละยี่สิบ ได้จ่ายเงินทั้งกินข้าว ทั้งซื้อมะละกอ แล้วสบายใจ สมกับที่เป็นชนเผ่าบริโภคนิยมจริง ๆ !!!

0 comments:

Post a Comment